เมนู

หยาบว่า เป็นอาบัติชั่วหยาบ ย่อมแสดงอาบัติมีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติ
ไม่มีส่วนเหลือ ย่อมแสดงอาบัติไม่มีส่วนเหลือว่า เป็นอาบัติมีส่วนเหลือ
ย่อมแสดงอาบัติที่ทำคืนได้ว่า เป็นอาบัติที่ทำคืนไม่ได้ ย่อมแสดงอาบัติที่
ทำคืนไม่ได้ว่า เป็นอาบัติทำคืนได้ ดูก่อนอุบาลี มูลเหตุแห่งการวิวาทที่
10 ประการนี้แล.
จบทุติยวิวาทมูลสูตรที่ 3

4. กุสินาราสูตร


ว่าด้วยภิกษุผู้ประสงค์จะโจทผู้อื่นพึงพิจารณาธรรม 5 ประการในตน


[44] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไพรสณฑ์เป็นที่
นำไปทำพลีกรรม ใกล้กรุงกุสินารา ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุผู้เป็นโจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาธรรม 5 ประการใน
ตน พึงเข้าไปตั้งธรรม 5 ประการไว้ในตน แล้วจึงโจทผู้อื่น ธรรม
5 ประการอันภิกษุพึงพิจารณาในตนเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ
ผู้เป็นโจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีกาย-
สมาจารอันบริสุทธิ์ เราเป็นผู้ประกอบด้วยกายสมาจารอันบริสุทธิ์ ไม่ขาด
ไม่บกพร่องหรือหนอ ธรรมนี้มีพร้อมอยู่แก่เราหรือไม่หนอ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย หากว่าภิกษุมิได้เป็นผู้มีกายสมาจารอันบริสุทธิ์ มิได้เป็น
ผู้ประกอบด้วยกายสมาจารอันบริสุทธิ์ ไม่ขาด ไม่บกพร่องไซร้ จะมี
ผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้นว่า เชิญท่านจงศึกษาความประพฤติทางกายเสียก่อนเถิด

จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้น ดังนี้.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นโจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณา
อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีวจีสมาจารบริสุทธิ์ เราเป็นผู้ประกอบด้วยวจีสมา-
จารอันบริสุทธิ์ ไม่ขาด ไม่บกพร่องหรือหนอ ธรรมนี้มีพร้อมอยู่แก่เรา
หรือไม่หนอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากว่าภิกษุมิได้เป็นผู้มีวจีสมาจาร
บริสุทธิ์ มิได้ประกอบด้วยวจีสมาจารอันบริสุทธิ์ ไม่ขาด ไม่บกพร่อง
ไซร้ จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้นว่า เชิญท่านจงศึกษาความประพฤติทาง
วาจาเสียก่อนเถิด จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้น ดังนี้.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นโจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณา
อย่างนี้ว่า เราเข้าไปตั้งเมตตาจิตไม่อาฆาตไว้ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
แล้วหรือหนอ. ธรรมนี้มีพร้อมอยู่แก่เราหรือไม่หนอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
หากว่าภิกษุเข้าไปตั้งเมตตาจิตไม่อาฆาตไว้ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
ไซร้ จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้นว่า เชิญท่านจงเข้าไปตั้งเมตตาจิตไว้ใน
เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเสียก่อนเถิด จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้น ดังนี้.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นโจทประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณา
อย่างนี้ว่า เราเป็นพหูสูต ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้สดับมามาก
ทรงไว้คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิซึ่งธรรมอันงามในเบื้อง
ต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ
ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงหรือหนอ ธรรมนี้มีพร้อมอยู่แก่เรา
หรือไม่หนอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุไม่เป็นพหูสูต ทรงสุตะ
สั่งสมสุตะ ไม่เป็นผู้ได้สดับมามาก ทรงไว้คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอด

ด้วยดีด้วยทิฏฐิซึ่งธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด
ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
ไซร้ จะมีผู้กล่าวภิกษุนั้นว่า เชิญท่านจงเล่าเรียนคัมภีร์เสียก่อนเถิด
จะมีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้น ดังนี้.
อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นโจทก์ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณา
อย่างนี้ว่า เราจำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีแล้ว จำแนกดีแล้ว ให้เป็นไป
ดีแล้วโดยพิสดาร วินิจฉัยดีแล้วโดยสูตรโดยอนุพยัญชนะหรือหนอ ธรรม
นี้มีพร้อมอยู่แก่เราหรือไม่หนอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากว่าภิกษุเป็น
ผู้ไม่จำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีแล้ว มิได้จำแนกดีแล้ว มิได้ให้เป็นไปดีแล้ว
โดยพิสดาร มิได้วินิจฉัยด้วยดีโดยสูตรโดยอนุพยัญชนะ ภิกษุนั้นถูกถาม
ว่า ท่านผู้มีอายุ สิกขาบทนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในที่ไหน ดังนี้
แก้ไม่ได้ จะมีผู้กล่าวภิกษุนั้นว่า เชิญท่านศึกษาวินัยเสียก่อนเถิด จะ
มีผู้ว่ากล่าวภิกษุนั้น ดังนี้ ธรรม 5 ประการนี้ อันภิกษุเป็นโจทก์พึง
พิจารณาในตน.
ธรรม 5 ประการ อันภิกษุผู้เป็นโจทก์พึงให้เข้าไปตั้งไว้ในตน
เป็นไฉน คือ จักกล่าวโดยกาลอันควร จักไม่กล่าวโดยกาลอันไม่ควร 1
จักกล่าวด้วยคำจริง จักไม่กล่าวด้วยคำไม่จริง 1 จักกล่าวด้วยคำอ่อน
หวาน จักไม่กล่าวด้วยคำหยาบ 1 จักกล่าวด้วยคำอันประกอบด้วย
ประโยชน์ จักไม่กล่าวด้วยคำอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์ 1 จักมี
เมตตาจิตกล่าว จักไม่เพ่งโทษกล่าว 1 ธรรม 5 ประการนี้ อันภิกษุ
ผู้เป็นโจทก์พึงเข้าไปตั้งไว้ในตน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เป็นโจทก์

ประสงค์จะโจทผู้อื่น พึงพิจารณาธรรม 5 ประการนี้ในตน พึงเข้าไป
ตั้งธรรม 5 ประการนี้ไว้ในตน แล้วจึงโจทผู้อื่น.
จบกุสินาราสูตรที่ 4

อักโกสวรรคที่ 5


อรรถกถากุสินาราสูตรที่ 4


วรรคที่ 5

กุสินาราสูตรที่ 4 พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้.
บทว่า กุสินารายํ ได้แก่ นครมีชื่ออย่างนี้ ชนทั้งหลาย่อมนำพลี
ไปเซ่น เพื่อประโยชน์แก่เทวดาทั้งหลายในที่นี้ เหตุนั้นที่นั้นจึงชื่อว่า
พลิหรณะ เป็นที่นำพลีไปเซ่น. ในที่นำพลีไปเซ่นนั้น. ในบทว่า อจฺฉิทฺ-
เทน อปฺปฏิมํเสน
เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้. ความประมาท
หรืออเนสนากรรมมีเวชกรรมเป็นต้น ที่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งกระทำแล้ว
กายสมาจารของภิกษุนั้น ย่อมเป็นช่องดุจใบตาลที่ตัวปลวกเป็นต้นกัดแล้ว
และชื่อว่าบกพร่อง เพราะอาจจะจับต้อง คือจับที่ใดที่หนึ่งคร่ามาได้
กายสมาจารตรงกันข้าม ชื่อว่าไม่มีช่องไม่บกพร่อง. ส่วนวจีสมาจาร
ชื่อว่าเป็นช่องบกพร่อง เพราะพูดเท็จพูดทิ่มแทงพูดส่อเสียด โจทด้วย
อาบัติที่ไม่มีมูลเป็นต้น วจีสมาจารตรงกันข้าม ชื่อว่าไม่มีช่องไม่บกพร่อง.
บทว่า เมตฺตํ นุ โข เม จิตฺตํ ได้แก่ เมตตาจิตที่ภิกษุตัดกังวลได้มาด้วย
การประกอบเนือง ๆ ซึ่งกรรมฐานภาวนา. บทว่า อนาฆาตํ ได้แก่ เว้น
อาฆาต อธิบายว่า กำจัดอาฆาตด้วยการข่มไว้. บทว่า กตฺถ วุตฺตํ ความว่า
สิกขาบทนี้ ตรัสไว้ที่นครไหน.